“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในภาพวาดแนวอิมเพรสชั่นนิสม์เลย” ฉันบอกกับแฟนขณะเรากำลังขี่จักรยานอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในช่วงปลายเดือน มีนาคม ซึ่งอากาศกำลังสบาย เส้นทางจักรยานนี้วิ่งผ่านต้นแอปเปิ้ลที่กำลังผลิดอก, ดอกทิวลิปสีสันสวยงาม, ทุ่งหญ้าเขียวขจี และบ้านที่สร้างจากหินเก่าๆ ซึ่งดูแปลกตาและมีเสน่ห์
เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เราเพิ่งลงจากเรือสำราญ Viking Skaga ที่เขตเทศบาล Vernon ในภูมิภาค Normandy และกำลังขี่จักรยานตามคุณ Chloé Savart ไกด์ของเรา ไปตามทางคดเคี้ยวเลียบแม่น้ำแซน การมาเที่ยวที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง Paris & the Heart of Normandy ของเรือสำราญ Viking Skaga ในวันนี้เราจะได้ปั่นจักรยานเที่ยวและก็เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและผลงานของโคลด โมเนต์ (Claude Monet) ศิลปินชาวฝรั่งเศสระดับตำนาน
หลังขี่จักรยานมาได้แค่ครึ่งชั่วโมง เราก็ไปถึงหมู่บ้าน Giverny ซึ่งศิลปินแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ผู้โด่งดังคนนี้ใช้เวลาอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต – ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1883 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1926 ขณะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่สวยมีเสน่ห์แห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปารีสมา 75 กม. โมเนต์สร้างผลงานที่โด่งดังที่สุดในชีวิตเขาหลายชิ้น รวมถึงภาพวาดชุด “Water Lilies” ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Musée de l’Orangerie ที่เมืองหลวงของฝรั่งเศส

หลุมศพ
จุดแรกที่เราแวะคือ Église Sainte-Radegonde de Giverny ซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์โรมาเนสก์ขนาดเล็กของหมู่บ้านและเป็นที่ตั้งของโลงศพหินอ่อนสีขาวของโมเนต์ ขณะยืนรับแดดจ้าช่วงกลางวัน คุณ Savart ไกด์ของเรา เริ่มเล่าประวัติชีวิตย่อๆ ของศิลปินคนนี้ให้พวกเราฟัง
หลังเกิดที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1840 ครอบครัวโมเนต์ย้ายมาที่ภูมิภาค Normandy ซึ่งอยู่ติดชายฝั่ง ตอนเขาอายุได้เพียง 5 ขวบ เขาเริ่มวาดรูปตั้งแต่ยังเด็ก โดยชอบวาดภาพการ์ตูนล้อเลียนเพื่อนๆ และสเก็ตช์ภาพเรือใบที่แล่นตามช่องแคบอังกฤษ


ในเวลาต่อมา เขาย้ายกลับไปปารีสเพื่อตามความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน แม้ว่าจะมีนักวิจารณ์ที่ชอบผลงานในยุคแรกๆ ของเขา โมเนต์ก็ยังต้องต่อสู้กับความท้าทายอีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเงินและเรื่องส่วนตัว แต่ในที่สุด เขาก็ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดังจากความสามารถในการวาดภาพทิวทัศน์ธรรมชาติโดยเน้นบรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งกลายมาเป็นสไตล์ที่รู้จักกันในชื่ออิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism)
หลังจากเดินเล่นในโบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานศพของโมเนต์เมื่อปี ค.ศ. 1926 เราก็กลับมาขี่จักรยานต่อจนไปผ่านอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร Restaurant Baudy ซึ่งไกด์ของเราเล่าว่า เป็นที่ที่โมเนต์เคยมากินดื่มและสังสรรค์กับเพื่อนศิลปินคนอื่นๆ

สร้างสวนของตัวเอง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เราเดินทางไปถึงสถานที่ที่เคยเป็นบ้านของโมเนต์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งดูแลโดยมูลนิธิ Foundation Claude Monet ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่า ตอนครอบครัวเขาย้ายมาที่ Giverny ในปี ค.ศ. 1883 พวกเขามาอยู่ที่บ้านปูนฉาบสไตล์ฟาร์มเฮ้าส์สีชมพูที่มีบานเกล็ดสีเขียวแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนแอปเปิ้ล
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โมเนต์ก็เริ่มเปลี่ยนพื้นที่รอบบ้านเขาให้กลายเป็นสวนที่ทั้งเขียวขจีและมีสีสันสดใสจากดอกไม้ ในเวลาต่อมา สวนแห่งนี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับงานศิลปะของเขา ในพื้นที่รอบบ้านเขาซึ่งมีชื่อเรียกว่า Clos Normand เขาตัดต้นไม้เกือบทั้งหมดทิ้งและปลูกดอกไม้หลากหลายชนิดแทน อาทิ ดอกป๊อปปี้, ดอกเดซี่, ดอกฮอลลี่ฮ็อค และดอกกุหลาบ
“ที่โมเนต์ทำหลักๆ คือสร้างงานศิลปะสองครั้ง – ครั้งแรกคือตอนที่สร้างสวนขึ้นมา และอีกครั้งตอนที่เขาวาดภาพมัน” ไกด์ของเราอธิบายขณะเราเดินผ่านดอกไม้ที่กำลังผลิบานส่งกลิ่นหอม

ดอกบัว แรงบันดาลใจสำคัญ
10 ปีหลังจากย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ – ซึ่งเขาทั้งปรับปรุงและขยายให้ใหญ่ขึ้น – โมเนต์ซื้อที่ที่ติดกับบ้านตัวเองเพิ่มและสร้างสวนสไตล์ญี่ปุ่นโดยมีทั้งบ่อน้ำและสะพานให้เดินข้าม ไกด์ของเราเล่าว่าสวนแห่งที่สองแห่งนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่โมเนต์ชื่นชอบมากที่สุด
เขาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแบบในการวาดภาพดอกบัวมากกว่า 250 เวอร์ชั่น โดยดอกบัวที่แสนจะเปราะบางถูกห้อมล้อมไปด้วยภาพสะท้อนของต้นไม้และท้องฟ้าซึ่งปรากฏอยู่บนผิวน้ำ
“ผมใช้เวลาระยะหนึ่งเลยกว่าจะเข้าใจดอกบัวของผม” โมเนต์เคยกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อปี ค.ศ. 1924 “ผมปลูกมันขึ้นมาโดยไม่ได้คิดจะวาดภาพมัน ไม่มีใครสามารถเห็นคุณค่าของทิวทัศน์ตรงหน้าได้ภายในวันเดียว และแล้วจู่ๆ ผมก็ตระหนักถึงความวิเศษของบ่อน้ำของผม ผมเริ่มหยิบจานผสมสีมา และจากนั้นเป็นต้นมา ผมแทบไม่ได้ใช้สิ่งอื่นเป็นแบบสำหรับวาดภาพเลย”

ขณะเรากำลังขี่จักรยานกลับ พระอาทิตย์กำลังจะตกดินพอดี ในช่วงเวลาที่ทิวทัศน์ตรงหน้าเปล่งเป็นสีทอง เราหยุดพักครั้งสุดท้ายใต้ร่มเงาบริเวณริมแม่น้ำแซน ไกด์ของเราหยิบภาพพิมพ์ของภาพวาดโบสถ์ Vernon ที่โมเนต์วาดขณะยืนอยู่จุดเดียวกันตรงนี้เมื่อปี ค.ศ. 1883
ขณะมองสลับไปมาระหว่างภาพพิมพ์และตัวโบสถ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าจริงๆ – ซึ่งตอนนี้ถูกอะพาร์ตเมนต์สมัยใหม่บดบังบางส่วน – ฉันจินตนาการภาพขณะโมเนต์กำลังใช้พู่กันแต่งแต้มผ้าใบจนได้สีและแสงตามที่ต้องการ ในชั่วขณะนั้น ฉันตระหนักขึ้นมาว่าภาพวาดของเขาเป็นมากกว่าแค่งานศิลปะที่สวยงาม แต่เป็นดั่งหน้าต่างที่เปิดออกให้เรามองย้อนเห็นอดีตด้วย
“กาลเวลาเดินหน้าต่อไป แต่มุมมองอันมีเอกลักษณ์ของโมเนต์จะคงอยู่ตลอดกาลในภาพวาดของเขา และผลงานของเขาทำให้ชีวิตพวกเราเต็มเปี่ยมมากขึ้น” ไกด์ของเรากล่าว และฉันก็เห็นด้วยมากๆ

จะเดินทางไปอย่างไร
บ้านและสวนของโมเนต์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 1 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 9.30-17.30 น. คุณสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าทางช่องทางออนไลน์หรือซื้อเมื่อไปถึงที่นั่นก็ได้
คุณไม่จำเป็นต้องมีไกด์เวลาจะไปเที่ยวแต่มูลนิธิ Foundation Claude Monet มีรายชื่อไกด์อิสระไว้ให้บนเว็บไซต์โดยจะมีเบอร์ติดต่อ ภาษาในการนำเที่ยวให้เลือก รวมถึงจะบอกว่าสามารถช่วยดูแลคนพิการได้ด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ คุณสามารถเช่าจักรยานได้จากบริษัท Givernon Rental Station และสามารถขี่จักรยานเที่ยวด้วยตัวเอง บริษัทนี้ให้เช่าทั้งจักรยานธรรมดาและจักรยานไฟฟ้า รวมถึงสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เสริมสำหรับจักรยานด้วย เช่น รถพ่วงจักรยานสำหรับเด็ก
อยากขี่จักรยานเที่ยวหมู่บ้าน Giverny และชมสระบัวของโมเนต์หรือยัง? จองเที่ยวบินไปปารีสได้เลยกับการบินไทย