กล่าวได้ว่าสโลแกน “Incredible India” น่าจะเป็นสโลแกนที่ไม่ได้เกินจริงเลย ดูอย่างเรื่องศาสนาเป็นต้น เพราะคงไม่มีประเทศไหนที่ศาสนาอยู่ร่วมกันมากมายมากกว่าประเทศอินเดียอีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเทศกาลทางศาสนาที่มีมากกว่า 100 เทศกาลต่อปี หรือเฉลี่ยราวๆ 8 เทศกาลต่อเดือนเลยทีเดียว
อินเดีย คือประเทศที่ถือเป็นต้นกำเนิดของศาสนาหลายศาสนา ตั้งแต่พุทธศาสนา ศาสนาซิกข์ ศาสนาเชน และศาสนาฮินดูที่เป็นที่นับถือของประชากรกว่า 79.8% ของประเทศ ศาสนาฮินดูนับเป็นศาสนาที่มีความเปิดกว้างในด้านความเชื่อ เพราะแม้จะเชื่อในพลังธรรมชาติสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว คือ พรหมัน (Brahman) แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้นับถือได้เลือกนับถือเทพองค์อื่นๆ หลายร้อยล้านองค์ที่เป็นเหมือนองค์จำแลงของเทพสูงสุดเพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นเทพ 3 องค์หลักซึ่งเรียกว่าพระตรีมูรติ คือพระพรหม ผู้สร้าง พระนารายณ์ ผู้ปกปักษ์รักษา และพระศิวะ ผู้ทำลาย ส่วนตรีเทวีที่เป็นพระชายาของเทพทั้งสาม ก็ได้แก่ พระสรัสวดี ชายาของ
พระพรหม เป็นตัวแทนของปัญญาและความรู้ พระลักษมี ชายาของพระนารายณ์ เป็นตัวแทนของโชคลาภ การเงินและความมั่งคั่ง ส่วนพระอุมาเทวี ชายาของพระศิวะ เป็นตัวแทนของความสำเร็จในด้านหน้าที่การงานและอำนาจ นอกจากนี้ยังมีเทพองค์อื่นๆ ที่คนไทยอาจจะคุ้นเคย เช่น พระพิฆเนศ เทพแห่งปราชญ์ ความสำเร็จ และการก้าวผ่านอุปสรรคขวากหนาม การเริ่มต้นใหม่ และหนุมาน เทพวานรซึ่งเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และความอุทิศตน เป็นต้น

ความเปิดกว้างของศาสนาฮินดูยังอยู่ที่วิธีการเข้าถึงพระเจ้าสูงสุด โดยเปิดให้ผู้นับถือแต่ละคนเข้าถึงพระเจ้าได้ด้วยวิธีของตนเอง ที่ไหน และเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ ผู้ศรัทธาสามารถบูชา (puja) เทพที่ตนนับถือได้ที่บ้านด้วยการจุดเทียนหรือถวายดอกไม้ให้กับเทวรูป หรือถ้าต้องการสมาธิหรือต้องการพบกับผู้ที่มีจิตศรัทธาคล้ายตน ก็อาจจะไปถวายเครื่องบูชาและสวดภาวนาร่วมกับผู้อื่นที่วัด (mandir) ได้เช่นกัน วัดในศาสนาฮินดูคือบ้านของเทพ ที่จะมีพระมาสวดภาวนา อ่านคัมภีร์ออกเสียง และถวายเครื่องบูชาแก่เทพ จากนั้นก็เป็นตัวแทนของเทพในการมอบเครื่องบูชาบางส่วนคืนให้แก่ผู้ศรัทธาเพื่อให้พรแทนองค์เทพ คนที่นำอาหารมาถวายก็อาจได้รับอาหารบางส่วนคืนมารับประทาน หรือคนที่ถวายดอกไม้ก็อาจได้รับดอกไม้กลับมาประดับผม เป็นต้น นอกจากนี้ วัดยังเป็นสถานที่สำคัญสำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ เมื่อมีเทศกาลอีกด้วย โดยส่วนใหญ่แล้ว วัดแต่ละแห่งจะบูชาเทพแตกต่างกันไป
ส่วนชาวฮินดูเองมีวิธีการเลือกบูชาเทพอย่างไรนั้น เหตุผลอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนก็เลือกนับถือเทพตามที่สมาชิกในครอบครัวตนเองนับถือ บางคนอาจจะนับถือเทพที่เป็นองค์อุปถัมภ์อาชีพของตน หลายคนเลือกบูชาองค์เทพตามสถานการณ์ เช่น บูชาพระพิฆเนศในช่วงสัมภาษณ์งานใหม่ หรือบูชาพระสรัสวดีในวันที่ต้องสอบ เป็นต้น ในขณะที่บางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนเลือกเทพ แต่เทพต่างหากที่เลือกพวกเขา

สำหรับนักท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม เดลีนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสำรวจความศรัทธาของคนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นศูนย์รวมของสถานที่สำคัญทางศาสนามากมาย ทั้งในส่วนของศาสนาฮินดูเองและศาสนาอื่นๆ ด้วย ความเปิดกว้างของศาสนาฮินดูทำให้การยอมรับความแตกต่างทางศาสนาเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ยึดถือ เดลีอาจจะไม่ได้หลอมรวมทุกศาสนาเข้าด้วยกัน แต่ก็เป็นเมืองที่ทุกศาสนามีพื้นที่และขอบเขตของตนเอง ซึ่งคุณสมบัตินี้ก็ทำให้เดลีมีเสน่ห์กลมกล่อมไม่แพ้ที่ไหน
ผู้ที่สนใจเรื่องเทพฮินดูอาจลองเดินทางไปชมวัดที่มีชื่อเสียง เช่น Laxmi Narayan Temple หรือ Birla Mandir วัดที่บูชาพระนารายณ์และพระลักษมี ที่อยู่ทางตะวันตกของย่าน Connaught Place ที่โด่งดังเรื่องการบันดาลให้เกิดความสำเร็จและความรุ่งเรืองในชีวิตของผู้บูชา นอกจากองค์เทพแล้ว สถาปัตยกรรมและภาพจิตรกรรมในวัดนี้ก็งดงามน่าเยี่ยมชมไม่น้อย

ส่วนผู้ที่นับถือพระอุมาเทวีอาจไปเยี่ยมชม Chhatarpur Mandir หรือ Shri Aadya Katyayani Shakti Peetham ที่บูชาเทวีกาตยายนี (Katyayani) ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระอุมาเทวี วัดแห่งนี้นับเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย อีกทั้งยังเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่สร้างจากหินอ่อนทั้งหมด วัดแห่งนี้จะตกแต่งสวยงามเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลนวราตรี นอกจากที่นี่แล้ว วัดที่บูชาพระอุมาเทวีที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งคือ Gauri Shankar Temple ที่อยู่ในย่านตลาด Chandni Chowk ที่มีเทวรูปของพระศิวะและพระอุมาเทวีให้บูชา เนื่องจากตามความเชื่อของชาวฮินดูแล้ว พระแม่กาลีซึ่งเป็นหนึ่งในร่างอวตารของพระอุมาเทวีนั้นมีพลังในการปกป้องคุ้มครองผู้บูชาจากโรคระบาด วัดที่บูชาพระอุมาเทวีจึงได้รับความนิยมเป็นพิเศษในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด

แต่ถ้าจะมีตำแหน่งวัดที่สะดุดตาที่สุด คงต้องยกให้ Sankat Mochan Dham ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถใต้ดิน Jhandewalan ที่โดดเด่นด้วยรูปปั้นหนุมานที่สูง 108 ฟุต นับเป็นรูปปั้นหนุมานที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก โดยทางเข้านั้นสร้างเป็นปากอสูรที่เปิดกว้างซึ่งสิ้นชีพอยู่แทบเท้าของหนุมานที่เป็นตัวแทนของความอุทิศตน พลังใจและการฟันฝ่าอุปสรรค


วัดอีกสองแห่งที่โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมคือ Swaminarayan Akshardham ที่
กินเนสส์บุ๊คยกให้เป็นวัดฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร วัดแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อบูชาสวามีนารายัณ นักพรตและผู้นำด้านจิตวิญญาณ อาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมฮินดูแบบดั้งเดิมสร้างขึ้นจากหินอ่อนหินสีชมพูจาก
ราชสถานที่แกะสลักกว่า 3 แสนก้อน สะท้อนถึงทักษะชั้นสูงของช่างฝีมือท้องถิ่นได้อย่างสวยงาม

ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ Lotus Temple สักการสถานบาไฮ (Bahá’í Houses of Worship) ที่ไม่ได้บูชาเทพองค์ใดเป็นพิเศษ แต่เป็นเหมือนสถานที่สวดภาวนาสำหรับทุกศาสนา ตามหลักปรัชญาของศาสนาบาไฮที่ให้ความสำคัญกับทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอาคารสร้างเป็นรูปดอกบัวตูมสีขาวด้วยหินอ่อน ส่วนด้านในนั้นเป็นห้องโถงใหญ่ที่เปิดให้ผู้เข้าชมได้มาสวดภาวนาถึงพระเจ้าในศาสนาของตน ซึ่งจะสวดในภาษาใดก็ได้ จะท่องคัมภีร์ของศาสนาใดก็ได้เช่นกัน ซึ่งคงมีสักการสถานไม่กี่แห่งในโลกที่มีบรรยากาศเช่นนี้

ด้วยศรัทธาและความเชื่อเรื่องโชคลางที่แพร่หลายในไทยทำให้วัดวาอารามของเดลีเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมเยี่ยมเยือน แต่อย่าลืมว่าได้ชื่อว่าเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว วัดส่วนใหญ่มักมีกติกามารยาทที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น ผู้มาเยือนควรแต่งกายเรียบร้อย หลีกเลี่ยงเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้น ถอดรองเท้าก่อนเข้าตัวอาคาร และสังเกตป้ายห้ามถ่ายภาพให้ดี ส่วนของบูชานั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามเทพแต่ละองค์ แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะบูชาเทพองค์ใดเป็นพิเศษ ก็อาจจะซื้อดอกไม้หรือผลไม้ทั่วไปติดมือไปไหว้ก็ได้เช่นกัน
ร่วมออกเดินทางไปบนเส้นทางแห่งศรัทธาในเดลีกับการบินไทย จองเที่ยวบินได้เลยที่การบินไทย